Sunday, January 14, 2007

ประชุมโครงการที่เว้

ในขณะที่กำลังเขียนอยู่นี้ กำลังอยู่ในโรงแรม Festival Hotel ที่เมืองเว้ ประเทศเวียตนาม มาเว้เพื่อมาประชุมโครงการ The Role of Universities in Information Technology for Development in Asia (UICT4D) ซึ่งเป็นโครงการวิจัยเพื่อสำรวจบทบาทของมหาวิทยาลัยในเอเซียต่อการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการพัฒนา รายละเอียดดูได้ที่เว็บ http://uict4d.org/

เว้เป็นเมืองเล็กๆที่น่ารักและมีเสน่ห์ และครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เดินทางมาประเทศเวียตนาม ออกเดินทางจากกรุงเทพฯที่ตอนบ่ายของวันพุธที่ 10 ถึงสนามบินที่เมืองโฮจิมินห์ในอีกราวๆหนึ่งชั่วโมงต่อมา จากนั้นก็เดินออกไปยังสนามบินในประเทศซึ่งอยู่ติดกัน พบกับเพื่อนๆในโครงการ UICT4D หลายคน จนล้อกันว่าเที่ยวบินนี้เป็นเที่ยวบินพิเศษสำหรับพวกเราเท่านั้น

สาเหตุที่มากันที่เว้ก็เพราะว่า Chris Coward บอกว่าเว้ที่ Learning Resource Center ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Atlantic Philanthropies ก็เลยคิดว่าควรจะมาที่นี่ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ และที่ขาดไม่ได้ก็คือมาท่องเที่ยวที่นี่ เว้เคยเป็นเมืองหลวงเก่าของเวียตนามก่อนที่จะกลายเป็นของฝรั่งเศส เมืองก็ยังคงความเป็น "ฝรั่งเศส" อยู่พอสมควร เช่นอาหารเช้าจะมีขนมปังแบบฝรั่งเศส ตึกรามบ้านช่องถึงแม้จะดูเก่าๆ แต่ก็คงความเป็นยุโรปไว้จนมองเห็นได้ เมื่อเดินทางมาถึงเว้ ก็ค่ำแล้ว รถแท็กซี่พาเรามายังโรงแรมเล็กๆในตัวเมือง ชื่อ Vong Canh Hotel ราคาคืนละ 10 เหรียญสหรัฐฯเท่านั้น ห้องก็พอใช้ได้สมกับโรงแรมราคาเท่านี้ เสียแต่ว่าในห้องของเราไม่มีผ้าเช็ดตัวทำให้ลำบากพอสมควร

พอรุ่งเช้าวันพฤหัส คุณ Huong ที่เป็นเจ้าหน้าที่ของ Hue Learning Resource Center ก็มาต้อนรับพวกเรา คุณ Huong พาเราไปกินอาหารเช้าที่ร้านที่อยู่ใกล้ ร้่านนี้ดูบรรยากาศเป็นยุโรปมากพอสมควร ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวยุโรป มีขายขนมปังชนิดต่างๆอยู่หน้าร้าน ลองสั่งกาแฟแบบ Arabica มากิน ปรากฏว่าเขาใส่ผงกาแฟมาในถ้วยเล็กๆที่มีรูอยู่ข้างล่าง ทำให้กำแฟไหลลงไป กำแฟแก่มากแต่ก็อร่อยดี ใส่นมสดลงไปจนเต็มแก้ว แล้วก็กินขนมปังบาแก็ตกับเนยแข็งตามสไตล์ฝรั่งเศส

จากนั้นก็เดินเท้ากันไปยัง Learning Resource Center เป็นตึกสี่ชั้นยังใหม่มากๆ ทราบว่าสร้างจากเงินบริจาคของ Atlantic Philanthropies Foundation ซึ่งเป็นมูลนืธิในสหรัฐฯที่ให้ทุนสนับสนุนการศึกษาในประเทศเวียตนาม ไอร์แลนด์เหนือ กับประเทศอื่นๆอีกสองสามประเทศ ในตึกเต็มไปด้วยคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมกับอินเทอร์เน็ต กับมีหนังสืออีกจำนวนหนึ่ง มีหนุ่มสาวชาวเว้นั่งดูคอมพิวเตอร์กันอย่างสนอกสนใจ บรรยากาศคล้ายๆกับอุทยานเรียนรู้ หรือ Knowledge Park ที่อยู่ตรงห้างเวิร์ลเทรด แต่ที่ต่างกันก็คือว่า ที่นี่ไม่ค่อยมีเด็กเล็กๆ มีแต่หนุ่มสาววัยรุ่น ซึ่งคาดว่าคงเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเว้ เนื่องจากศูนย์เรียนรู้แห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัย หน้าประตูมียามคอยตรวจของ ข้างในมีโต๊ะยาวๆมีคอมพิวเตอร์วางเรียงจนเต็ม คุณ Huong พาเราเดินขึ้นไปข้างบน ชั้นสองกับชั้นสามก็เหมือนกัน คือมีโต๊ะคอมพิวเตอร์อยู่เต็ม มีนักศึกษานั่งทำงานกันเต็มเช่นเดียวกัน ลองแอบดูว่าเขาดูอะไรกัน ปรากฏว่าหลายคนกำลังค้นข้อมูล ซึ่งคิดว่ากำลังเขียน paper บางคนก็กำลังตอบอีเมล์ บางคนดูข้อมูลต่างๆบนเว็บ ไม่เห็นใครเล่นเกมเลย (ไม่เหมือนกับที่ Knowledge Park) แสดงว่านักศึกษาเวียตนามสนใจการเรียนกันจริงๆ

ห้องประชุมของเราอยู่บนชั้นสี่ พอมาถึงก็พบว่ามีอุปกรณ์ต่างๆพร้อมเพรียง ที่น่าสังเกตคือในห้องมี wireless internet ทำให้ติดต่ออินเทอร์เน็ตได้อย่างสะดวกสบาย จนเวลาส่วนใหญ่ใช้ไปกับการอ่านอีเมล์กับดาว์นโหลดต่างๆ จนไม่ได้ให้ความสนใจแก่การประชุมมากนัก คิดว่าที่จุฬาฯไม่มีตึกไหนเลยที่ทำให้เราสามารถต่อ wireless internet ได้อย่างอิสระเสรี ไม่ต้องลงทะเบียนใดๆเช่นนี้ เรื่องนี้นับว่าจุฬาฯยังตามหลังมหาวิทยาลัยเว้อยู่มาก

รายละเอียดของการประชุมก็มีเรื่องจะเล่าอีกมาก แต่คงต้องรอไปเขียนในอะไรที่เป็นทางการมากกว่านี้

พอประชุมเสร็จ คุณ Huong ก็พาเราไปชั้นล่างของตึกเพื่อกินอาหารกลางวัน อาหารเป็นแบบเวียตนามขนานแท้ กล่าวกันว่าอาหารที่เว้เป็นอาหารเวียตนามที่อร่อยที่สุด ก็เห็นจะจริงตามนั้น เพราะกินเข้าไปเยอะพอสมควร

ในตอนค่ำเจ้าของบ้านของเราก็พาเราไปยังร้านอาหารในโรงแรม Century Riverside ซึ่งอยู่ริมแม่น้ำหอม ชื่อภาษาอังกฤษของแม่น้ำนี้ได้แก่ Perfume River ซึ่งไม่รู้ว่าชื่อภาษาไทยแปลมาจากชื่อนี้หรือเปล่า อาหารที่เรากินก็เป็นอาหารเวียตนาม ที่ยกมาเสริฟทีละชุดแบบโต๊ะจีน ก่อนหน้านี้ Chris กับ Colin มีความเห็นกันว่า โรงแรมที่ทาง LRC จัดให้เรานั้น อยู่ไม่สบาย ที่สำคัญคือไม่มีอินเทอร์เน็ต ทำให้ทำงานไม่สะดวก ก็เลยตกลงจะเปลี่ยนโรงแรม พอดี Kelly Hutchinson ตัวแทนที่ทำวิจัยประเทศกัมพูชา เคยมาที่เมืองนี้ และรู้จักโรงแรม Festival ก็เลยพากันย้ายมาโรงแรมนี้กันทั้งหมด ตกลงพอกินอาหารเย็นเสร็จก็มาพักกันที่โรงแรม Festival

วันที่สองของการประชุมจบลงประมาณเวลาบ่ายสามโมงกว่าๆ เพราะต้องการจะหาเวลาไปเที่ยวพระราชวังจักรพรรดิที่อยู่ใกล้ๆ พระราชวังนี้เป็นของจักรพรรดิราชวงค์เหงียน ซึ่งปกครองเวียตนามอยู่ประมาณสองร้อยปี และเริ่มต้นราชวงศ์ในเวลาที่ไม่ห่างจากราชวงศ์จักรีของเราไม่นานนัก ด้านหน้าของพระราชวังมีป้อมปราการ มีธงชาติเวียตนามขนาดใหญ่มากโบกอยู่ ธงที่ป้อมนี้มีประวัติความเป็นมาน่าสนใจ คือเป็นธงที่ฝ่ายเวียตนามเหนือชัดขึ้น เมื่อยึดเมืองเว้ได้ในคราว Tet Offensive ในปี ค.ศ. 1968 ฝ่ายเวียตนามเหนือยึดเว้ไว้ได้ถึงสามอาทิตย์กว่า ซึ่งมากกว่าเมืองใดๆที่เคยยึดได้เมื่อสหรัฐฯยังร่วมสงครามอยู่ เว้เป็นสมรภูมิสำคัญในสงครามเวียตนาม แต่ผลลัพธ์ก็คือว่า พระราชวังของจักรพรรดิถูกทำลายไปเกือบหมด ที่เห็นตั้งอยู่ก็เป็นอาคารที่ซ่อมแซมขึ้นมาใหม่ แต่ถึงกระนั้นก็ยังตระการตา และทำให้นึกไปว่า เมื่อยังสมบูรณ์ดีอยู่นั้นจะสวยงามเพียงใด แบบแปลนของพระราชวังจักรพรรดิที่นี่คล้ายๆกับของจีนที่ปักกิ่ง เพียงแต่ว่าของจีนจะใหญ่กว่า แต่ถึงกระนั้นที่นี่ก็ยังใหญ่ไม่แพ้กันเท่าใดนัก ที่ต่างกันมาก็คือว่า ที่นี่ถูกทำลายไปเกือบหมด อาคารบางหลังเหลือแต่พื้นดำๆ กับร่องรอยพอให้รู้ว่าเคยเป็นพระราชวังเท่านั้น ข้างในบางส่วนก็กลายเป็นสวนผักไป มีอาคารไม่กี่หลังเท่านั้นที่ได้รับการบูรณะ แต่ก็เห็นบางส่วนยังซ่อมกันอยู่ เช่นระเบียงคดที่คิดว่าเป็นแนวกั้นระหว่างวังฝ่ายหน้ากับฝ่ายใน

ในวันเสาร์ เรามีการประชุมกันแค่ครึ่งวัน เพื่อเป็นการสรุปงานที่แต่ละฝ่ายต้องไปทำต่อไป อยู่เว้จนถึงเย็นวันอาทิตย์ และก็ต้องค้างคืนที่โฮจิมินห์อีกคืนหนึ่ง ก่อนจะกลับกรุงเทพฯในบ่ายวันจันทร์

ในวันอาทิตย์นี้ ได้ไปที่เจดีย์ Thien Mu ซึ่งแปลว่านางฟ้าจากสวรรค์ บริเวณเจดีย์มีวัดอยู่ วัดนี้เป็นวัดของหลวงพ่อที่เผาตนเองประท้วงการปกครองของเวียตนามใต้ ภายใต้การปกครองของประธานาธิบดีโง ดิน เดียม เราได้เห็นอัฐบริขารของหลวงพ่อด้วย (ชื่ออะไรจำไม่ได้แล้ว) คิดว่าเป็นพระที่ปฏิบัติไดดียิ่ง ท่านคงเห็นว่า การต่อสู้กับความชั่วร้ายคงไม่มีวิธีอะไรอื่นอีกแล้ว นอกจากทำเช่นนี้ ท่านนั่งรถไปจอดบนถนน แล้วก็ออกมานั่งขัดสมาธิบนถนน แล้วก็จุดไฟเผาตนเอง ภาพนี้เป็นข่าวดังไปทั่วโลก ตอนที่เห็นภาพเราซาบซึ้งในความเด็ดเดี่ยวของหลวงพ่อมาก ท่านต้องปฏิบัติมาได้ดีมากๆ จนไม่มีความยึดติดอะไรกับตัวตนอีกต่อไป เราเกือบจะน้ำตาไหลเมื่อเห็นภาพของท่านนั่งอยู่ในกองเพลิงบนถนนของไซ่ง่อน พลางก็นึกถึงคำสอนของท่านศานติเทวะที่บอกว่า หากเราเอาชนะจิตของเราได้ ก็เท่ากับชนะสิ่งอื่นๆในโลกได้ทั้งหมด ไม่ว่าศัตรูอะไรที่ไหนก็สามารถเอาชนะได้ หากเราเอาชนะจิตของเราเอง